"ช้างต้น" คู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้ายู่หัว...
|
๑.พระเศวตรอดลุยเดชพาหน ภูมิพลนาคบารมีฯ สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๐๒ ๒.พระเศวตรรัตนกวี สมโภชขึ้นระวางที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๐๙
๓.พระเศวตรสุรคชาธาร สมโภชขึ้นระวางที่จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๑ ๔.ช้างพลายแก้ว ยังมิทันได้ขึ้นระวางก็ล้มเสียก่อน ปีพุทธศักราช ๒๕๑๙
๕.พระศรีเศวตรศุภลักษณ์ สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๘ ๖.ช้างพลายก้อง ล้มก่อนน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย
๗.พระเศวตรสุทธวิลาศ สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๕ ๘.พระวิมลรัตนกิริณี สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๐ ๙.พระศรีนรารัฐราชกิริณี สมโภชขึ้นระวางที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐
๑๐. พระเศวตรภาสุรคเชนทร์ สมโภชขึ้นระวางที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑ ๑๑.พระเทพวัชรกิริณี สมโภชขึ้นระวางที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
๑๒.พระบรมนขทิศ สมโภชขึ้นระวางที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
พระเศวตคชเดชน์ดิลกฯ ช้างเผือกในรัชกาลที่ ๗
พระชัยหลังช้าง
ช้างเผือกตามตำราคชลักษณ์
ช้างเผือกตามตำราคชลักษณ์นั้นแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท และมีลักษณะอันเป็นมงคล ๗ ประการ คือ มีตาขาว เพดานขาว เล็บขาว ผิวหนังสีขาวหรือสีหม้อใหม่ ขนขาว ขนหางยาว และอัณฑโกศสีขาวหรือสีหม้อใหม่ คือ ๑.ช้างเผือกเอก เรียกว่า สารเศวตร หรือ สารเศวตพรรณ เป็นช้างเผือกที่มีลักษณะถูกต้องสมบูรณ์ตามตำราคชลักษณ์และมีลักษณะพิเศษ คือ ร่างใหญ่ ผิวขาวบริสุทธิ์ สีดุจสีสังข์ เป็นช้างมงคลคู่บ้านคู่เมือง ๒.ช้างเผือกโท เรียกว่า ปทุมหัตถี มีผิวสีชมพูดูคล้ายสีกลีบดอกบัวแดงแห้ง เป็นช้างมงคลเหมาะแก่การศึก ๓.ช้างเผือกตรี เรียกว่า เศวตรคชลักษณ์ มีสีดุจใบตองอ่อนตากแห้ง เป็นช้างมงคล หากมีการพบช้างสำคัญ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาแต่โบราณ ที่จะไม่กล่าวว่าช้างนั้นเป็นช้างเผือกและเป็นชั้นใด เอก โท หรือตรี แก่ผู้ใดจนกว่าจะได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทเสียก่อน และจะเรียกว่า ช้างสำคัญ ไปจนกว่าจะได้รับการขึ้นระวางและรับพระราชทานอ้อยแดง จารึกนามแล้ว จึงเรียกว่า "ช้างเผือก" |
พระชัยหลังช้าง
ช้างเผือกจำลอง พระเศวตสุนทรสวัสดิ์ พระยาช้างต้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ขนาด สูง ๒๗ ซม. |
มีดชายธง ด้ามเป็นงา แกะสลักรูปพระพิฆเณศ |
ช้างต้น หมายถึง ช้างที่ได้รับการขึ้นระวางเป็นช้างหลวงส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ในสมัยโบราณได้แบ่งช้างต้นออกเป็น ๓ ประเภท ดังนี้
๑.ช้างศึกที่ทรงออกรบ
๒.ช้างสำคัญซึ่งมีลักษณะเป็นช้างมงคลตามตำราคชลักษณ์ แต่ไม่สมบูรณ์หมดทุกส่วน
๓.ช้างเผือกซึ่งมีลักษณะถูกต้องตามตำราคชลักษณ์อย่างสมบูรณ์
ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การศึกที่ต้องใช้กองทัพช้างในการสงครามหมดความสำคัญลง ช้างศึกที่ควรขึ้นระวางเป็นช้างต้นก็ไม่มีความจำเป็นจึงคงเหลือเพียงช้างต้น ที่หมายถึงช้างสำคัญและช้างเผือก ซึ่งหากพบก็จะมีการประกอบพระราชพิธีรับสมโภชและขึ้นระวางเป็นพระยาช้างต้น ด้วยถือตามพระราชประเพณีที่ว่า ช้างเผือกนั้นเป็นหนึ่งในรัตนะ ๗ สิ่งซึ่งคู่บารมีขององค์พระมหากษัตริย์ โดยรัตนะทั้ง ๗ นี้มีชื่อเรียกว่า สัปตรัตนะ อันได้แก่ จักรรัตนะ(จักรแก้ว) หัตถีรัตนะ(ช้างแก้ว) อัศวรัตนะ(ม้าแก้ว) มณีรัตนะ(มณีแก้ว) อัตถีรัตนะ(นางแก้ว) คหปติรัตนะ(ขุนคลังแก้ว) ปริณายกรัตนะ(ขุนพลแก้ว)
๑.ช้างศึกที่ทรงออกรบ
๒.ช้างสำคัญซึ่งมีลักษณะเป็นช้างมงคลตามตำราคชลักษณ์ แต่ไม่สมบูรณ์หมดทุกส่วน
๓.ช้างเผือกซึ่งมีลักษณะถูกต้องตามตำราคชลักษณ์อย่างสมบูรณ์
ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การศึกที่ต้องใช้กองทัพช้างในการสงครามหมดความสำคัญลง ช้างศึกที่ควรขึ้นระวางเป็นช้างต้นก็ไม่มีความจำเป็นจึงคงเหลือเพียงช้างต้น ที่หมายถึงช้างสำคัญและช้างเผือก ซึ่งหากพบก็จะมีการประกอบพระราชพิธีรับสมโภชและขึ้นระวางเป็นพระยาช้างต้น ด้วยถือตามพระราชประเพณีที่ว่า ช้างเผือกนั้นเป็นหนึ่งในรัตนะ ๗ สิ่งซึ่งคู่บารมีขององค์พระมหากษัตริย์ โดยรัตนะทั้ง ๗ นี้มีชื่อเรียกว่า สัปตรัตนะ อันได้แก่ จักรรัตนะ(จักรแก้ว) หัตถีรัตนะ(ช้างแก้ว) อัศวรัตนะ(ม้าแก้ว) มณีรัตนะ(มณีแก้ว) อัตถีรัตนะ(นางแก้ว) คหปติรัตนะ(ขุนคลังแก้ว) ปริณายกรัตนะ(ขุนพลแก้ว)
เจ้าพระยาปราบไตรจักร (พลายหอม) ในรัชกาลที่ ๓ - ๔
|
เจ้าพระยาปราบไตรจักร
งาช้าง ขนาด สูง ๒๙๙ ซม. และ สูง ๒๓๘ ซม. หนา ๔๔.๕ ซม. และ หนา ๔๕.๕ ซม อายุสมัย รัตนโกสินทร์ | ||
|
|
นำมาจัดแสดงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น